หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ตำนาน HipHop


1.MCRap หรือ Rap Music เป็นเพลงประเภท rhythm-and-blues music ซึ่งเป็นการร้องเพลงประสานทำนอง โดยลักษณะการร้องจะเป็นแบบตรงไปตรงมา โผงผาง โดยจะร้องร่วมกับ electronic drum beats ผสมกับ samples การร้อง rap ที่ได้มีการบันทึกเอาไว้ครั้งแรก คือในปี 1979 และเริ่มมีการแพร่ขยายออกมาในประมาณกลางปี 1980 ที่ New York ประเทศสหรัฐอเมริกา ในตอนแรกนั้น มีความหมายรวมเข้าไปใน Hiphop คือเรียกรวมเข้าไป จนกระทั่ง เริ่มมีการใช้คำว่า Rap จากความโด่งดังของอัลบั้ม “Rapper’s Delight” (1979) โดย the Sugarhill Gang ตั้งแต่นั้นมา Rap จึงได้เข้าไปเป็นส่วนย่อยของ Hiphop เหมือนเช่นดัง break dancing และ graffiti อีกด้วย โดยศิลปะที่เป็นความแปลกก็คือ การร้องที่จะใช้คำแสลง ที่แปลกๆ และภาษาที่สื่อตรงๆ ในการร้อง
2. DJ DJย่อมาจาก Diskjoging คือกลุ่มคนหรือบุคคลที่ทำหน้าที่เปิดเพลงตามงานหรือโอกาสต่าง ๆ DJ มีหลายประเภทแต่ที่จะนำมาเสนอนี้คือ DJ ที่เปิดเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง Turntable (ปัจจุบันได้มีการพัฒนามาเป็นแผ่น CD เช่นเครื่อง CDJ เป็นต้น) เอกลักษณ์ของ DJ ประเภทนี้คือการ "Scratch แผ่นเสียง" หมายถึงการเล่นเพลงไปข้างหน้าและย้อนกลับอย่างรวดเร็วตามจังหวะของเพลง ทำให้เกิดเสียงแปลก ๆ ออกมา DJ เกี่ยวข้องอะไรกับ HipHop ? DJ เป็นกลุ่มคนที่สำคัญมากในวงการ HipHop เพราะได้กล่าวมาแล้วว่าเด็ก HipHip ต้องมีองค์ประกอบเกี่ยวกับเพลงเสมอฉะนั้นจึงจะขาด DJ ไปไม่ได้เพราะเป็นคนเปิดเพลงในกลุ่มต่าง ๆ เช่น เปิดเพลงให้ MC ร้องrap เปิดเพลงให้ B-Boy เต้น เป็นต้น ดูอย่างไรว่าใครเป็น DJ? ถ้าดูการแต่งตัวหรือการใช้ชีวิตแล้วคงจะดูไม่ออกเพราะDJจะไม่เน้นเรื่องเหล่านี้ ดูง่าย ๆ เวลามีงานเลี้ยง ในร้านเหล้า หรือร้านอาหารต่าง ๆ DJ จะเป็นคนยืนอยู่หน้าเครื่องเปิดแผ่นเสียงแล้วทำหน้าที่คอยเปลี่ยนเพลง ถ้าอยากเป็นDJควรทำอย่างไร ? มีวิธีเดียวคือต้องไปเรียนที่โรงเรียนสอน DJ แล้วไปหางานเปิดแผ่น ส่วนกลุ่มDJ นั้นจะเป็นกลุ่มที่รวมตัวกันเพื่อหางานมากกว่ารวมตัวกันเพื่อทำเล่น ๆ เพราะถือว่า DJ เป็นอาชีพอย่างหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ได้อีกอย่างหนึ่งเลยที
3. B-boy คำว่า B-Boying นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาของชนชาติแอฟริกัน คือ คำว่า “Boioing” หมายความว่า “ กระโดด, โลดเต้น” และถูกใช้ในแถบ 'Bronx River' ในการเรียก รูปแบบการเต้นเบรกกิ้งของกลุ่มชาวบีบอย ตัว B ในคำว่า Bgirl : Bboy นั้นย่อมาจาก Break-Girl : Break-Boy ( บางทีก็หมายถึง Boogie หรือ Bronx) B-Boying นั้นยังเป็นที่รู้จักในชื่อ “ เบรกกิ้ง” หรือ เบรคแด๊นซ์" ( อันหลังได้รับการบัญญัติโดยสื่อมวลชน) Breaking นั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Rocking มาก่อน เป็นการสะท้อนของ อิทธิพลจากชนชาวแอฟริกัน อเมริกัน หรือวัฒนธรรมชาวลาติน(เปอโตริกัน) ซึ่งมาพร้อมกับการอพยพ และ ปักฐานที่กรุงนิวยอร์กในช่วงปลายยุค60 นั่นเอง "เบรกกิ้ง" เป็นการเต้นที่ได้รับอิทธิพลจากการเต้นหลากหลายรูปแบบ ทั้งท่วงท่าจากกีฬายิมนาสติก รวมถึงจากศิลปะการเคลื่อนไหวของโลกตะวัน ออกอีกด้วย เป็นที่คาดคิดกันว่า เบรคกิ้ง หรือเบรคแด๊นซ์นั้นมีรากฐานมาจาก คาโปเอร่า หรือ 'Capoeira' คำว่า เบรค (Break) นั้นเป็นช่วงของจังหวะดนตรีที่ดุดันและเร้าใจ ในช่วง จังหวะนี้เหล่านักเต้นจะแสดงอารมณ์ด้วยท่าเต้นที่จะดึงดูดสายตาที่สุดเลยทีเดียว เรียกว่ามีอะไรก็เอามาโชว์ให้หมด Kool DJ Herc เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในการ ขยายช่วงจังหวะนี้ให้สนุกมากขึ้นด้วยเทิร์นเทเบิ้ลถึงสองตัว โดยเล่นแผ่นเสียง พร้อมกันทั้ง2 เครื่องและใช้แผ่นเสียงเพลงเดียวกัน ใช้เทคนิคถูแผ่นต่างๆกันไป ซึ่งนักเต้นสามารถจะถ่ายทอดท่าเต้นได้นานกว่าเดิม ที่มักจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่ วินาที ในระยะแรกๆนั้นการเต้นจะเป็นท่า " upright" ที่ภายหลังเป็นที่รู้จักกันใน ชื่อ"top rocking" เป็นท่ายืนเต้น ซึ่งมีอิทธิพลมาจากBrooklyn uprocking, การ เต้นแท็ป , lindy hop , ซัลซ่า, ท่าเต้นของ Afro Cuban, ชนพื้นเมืองแอฟริกัน และชนพื้นเมืองชาวอเมริกัน และก็ยังมีท่าท๊อปร็อคแบบ Charleston ที่เรียก ว่า"Charlie Rock" อิทธิพลอีกอย่างนั้นมาจาก James Brown กับผลงานเพลง ยอดฮิต"Popcorn" (1969) และ "Get on the Good Foot" (1972) จากท่าเต้น ที่เต็มไปด้วยพลังและรูปแบบที่โลดโผนสนุกสนาน ผู้คนจึงเริ่มที่จะเต้นในแบบ"GoodFoot". ในขณะ ที่การต่อสู้กันด้วยลีลาท่าเต้นเริ่มจะกลายมาเป็นประเพณี การเต้น Rocking หรือ Breaking นั้นก็เริ่มจะแทรกซึมเข้ามาสู่วัฒนธรรมฮิปฮอป ( ปะทะกันด้วยความสร้างสรรค์ไม่ใช่ด้วยอาวุธ) และมันเริ่มพัฒนาท่า เต้นที่เริ่มหลากหลายขึ้น ทั้งการย่ำเท้า การสับขา การลากเท้า และท่วงท่าที่จะใช้ปะทะกัน คือมีดีอะไรก็นำมาโชว์และเป็นที่มาของท่า "footwork" ("floor rocking" และ "freezes". Floor rocking, มีอิธิพลมาจากภาพยนตร์แนวต่อสู้ ในช่วงปลายยุค 70, การเต้นแท็ป ( ฟุตเวิร์กแบบชาวรัสเซีย, การตบ, การกวาดตัวเคลื่อนย้าย อย่างรวดเร็ว, ท่าล้อเกวียน)และท่าอื่นๆ ซึ่ง Floor rocking ได้เข้ามาเป็นท่า เต้นหลักเพิ่มขึ้น จาก 'toprocking' ในช่วงการเต้นขึ้นลงสู่พื้น เรียกว่า การ"godown" หรือ การ"drop" ยิ่งทำได้ลื่นไหลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี. Freezes นั้นมักใช้ในเป็นท่าจบ ซึ่งมักจะใช้เป็นท่าล้อเลียนหรือท้า ทายฝ่ายตรงข้ามหรือคู่ต่อสู้ ท่าที่ยอดฮิตก็คือ "chairfreeze" และ "baby freeze". ท่า chair freeze นั้นกลายเป็นท่าพื้นฐานของหลายๆท่าเพราะว่าระ ดับความยากง่ายของท่าที่ต้องใช้ความสามารถพอตัว คือ การใช้มือ แขนข้อศอกในการพยุงตัวในขณะที่เคลื่อนไหวขาและสะโพก เป้าหมายหลักในการปะทะ หรือ “Breaking Battle” นั้นก็คือ เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยท่าที่ยากกว่า สร้างสรรค์กว่า และรวดเร็วกว่าในทั้งจังหวะ และการFreezes ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ "Breaking crews" หรือกลุ่มของนักเต้นนั้น เข้ามารวมตัวกันและช่วยกันฝึกฝนและคิดค้นท่าใหม่ๆ เพื่อเอาชนะกลุ่มอื่นๆ กลุ่มบีบอยที่เป็นที่รู้จักในช่วงแรกๆ คือ กลุ่ม Nigga Twins และกลุ่มอื่นๆอย่างเช่น “TheZulu Kings, The Seven Deadly Sinners, Shang-hai Brothers, The Bronx Boys, Rockwell Association, Starchild La -Rock,Rock Steady Crew and the Crazy Commanders ("CC step" เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นผู้บุกเบิกวงการนักเต้นบีบอยยุคแรกๆช่วงที่การเต้นแบบนี้เริ่มพัฒนาจนมีเอกลักษณ์ น่าสนใจและสร้างนักเต้นที่เป็นที่รู้จักนั่น ก็คือช่วงกลางยุคปี70 ก็ได้แก่นักเต้นอย่าง Beaver,Robbie Rob (Zulu Kings), Vinnie, Off (Salsoul), Bos (Starchild La Rock), Willie Wil, Lil' Carlos (Rockwell Association), Spy, Shorty (Crazy Commanders), Jame Bond, Larry Lar, Charlie Rock (KC Crew), Spidey, Walter (Master Plan) ฯลฯ กลุ่มบีบอยใหญ่ๆที่ทำใหศิลปะการปะทะกันด้วยเบรคแด๊นซ์นี้ไม่หาย ไป ก็คือการปะทะกันระหว่างกลุ่ม SalSoul ( เปลี่ยนชื่อภายหลังเป็น The DiscoKids) กับกลุ่ม Zulu Kings และระหว่างกลุ่ม Starchild La Rock กับ Rockwell-Association. ในขณะนั้น ' เบรคกิ้ง' หรือ ' เบรคแด๊นซ์ ' ยังมีแค่ท่าFreezes, Footworks and Toprocks และ ยังไม่มีท่า Spins! ในช่วงปลายยุค70 กลุ่มบีบอยรุ่นเก่าๆเริ่มที่จะถอนตัวกันไปและบีบอยรุ่น ใหม่ๆก็เริ่มเข้ามาแทนที่ และ คิดค้นสร้างสรรค์ท่าและรูปแบบการเต้นใหม่ๆขึ้น เช่น การหมุนทุกๆส่วนของร่างกาย เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ท่า Headspin, Continues Backspin หรือ Windmill และอื่นๆอีกมาก ที่ได้รับการ คิดค้นและพัฒนามาเรื่อยๆ ในช่วงยุค 80 มีกลุ่มบีบอยหลายๆกลุ่มที่โด่งดังในกรุงนิวยอร์ก ได้แก่ 'Rock Steady Crew' , 'NYC Breakers' , 'Dynamic Rockers' , 'United States Breakers' , 'Crazy Breakers' , 'Floor Lords' , 'Floor Masters' , 'Incredible Breakers' , 'Magnificent Force' ฯลฯ บีบอยที่เก่งช่วงนั้นก็เช่น Chino, Brian, German, Dr. Love (Master Mind), Flip (Scrambling Feet),Tiny (Incredible Body Mechanic) ฯลฯ. การปะทะกันที่ยิ่งใหญ่มากในตอนนั้น เป็นการปะทะกันระหว่าง Rock Steady Crew กับ NYC Breakers และระหว่าง Rock Steady Crew กับ Dynamic Rockers และในช่วงปลาย
4. Graffiti Graffiti สมัยดั้งเดิม เป็นการกำหนดพื้นที่ของบรรดาแก๊งค์ต่างๆเพื่อแสดงอาณาเขตและมักนิยมทำกันมากในช่วงระหว่างปลายปี 60's จุดเริ่มต้นจริงๆเกิดที่ Philadelphia, Pennsylvania และมีรากฐานมาจากการ"Bombing"(คือการพ่นหรือเซ็นชื่อหรือลายเซ็นอย่างเร็วที่เรียกว่า "TAG" ตามที่ห้ามขีดเขียนด้วยสเปร์ยหรือมาร์กเกอร์)Writer(คนที่พ่นหรือคนเขียนนั่นแหละ) ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ก็จะมี"CORNBREAD" และ "COOLEARL"2 คนนี้ก็ตระเวณBomb ตามที่ต่างๆทั่วเมืองมากมาย และมันก็เรียกร้องความสนใจจากผู้คนแถวนั้นและพวกสื่อต่างๆมากมายได้อย่างดีด้วยสิ เพราะด้วยรูปแบบตัวหนังสือที่อ่านยากแต่สวยงามและมันก็ได้ลามไปสู่ NewYorkทันที หลังจากที่ CONBREAD สร้างชื่อไปแล้ว ต่อมาในปี1971เกิด writer ชื่อ "TAKI183" ขึ้นมาและมีชื่อเสียงโด่งดัง จนหนังสือพิมพ์ "The New York Times" ยังเอาไปตีพิมพ์ ซึ่งชื่อ TAKI183นี่มาจากชื่อเล่นและชื่อถนนที่เขาอาศัยอยู่นั้นเอง งานของเขาจะเน้นหนักไปทางการ Bombing ซะมากกว่า แล้วก็เลยทำให้ Graffiti กลายเป็นวัฒนธรรมแฟชั่นยุคใหม่และตัวเขาเองกลายเป็นแนวทางให้ writerรุ่นใหม่ๆหันมานิยมใช้ชื่อแฝงและก็หมายเลขเพิ่มมากขึ้น เช่น JULIO204,FRANL207 เป็น writer ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นต่อมามันก็ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นและระบาดในแถบถนนBrooklyn ต้นตำรับของวัฒนธรรม "Hiphop" Writer เจ้าถิ่นที่มีชื่อเสียงอย่างมากและงานของเขามีอิทธิพลต่อคนรอบข้างสูงก็คือ"FRIENDLY FREDDIE" Graffiti ก็เริ่มระบาดจากที่เคยพ่นบนถนนก็เปลี่ยนมาพ่นที่สถานีรถไฟใต้ดินและพ่นกันบนรถไฟเลย ทำให้เวลาที่รถไฟแล่นไปไหนก็ตามมันก็จะเป็นการช่วยโปรโมทงานเขียนของตนเองให้คนอื่นเห็นมากขึ้น และมันก็ได้กลายเป็นการโชว์ออฟกันอย่างสูงในช่วงนั้น writerบางคนก็ Tag กันตามรถเลยก็มี สร้างความเดือดร้อนแก่เจ้าของรถเป็นอย่างมาก ต่อมาเมื่อ writer มีมากขึ้นบางคนก็คิดสไตล์ในการ Tag เพื่อเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น รูปมงกุฏเพื่อป่วสประกาศให้คนอื่นรู้ว่าเป็น kingมีอยู่TAG นึงที่ถือได้ว่าเป็น TAG ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์สร้างสรรค์โดย "STAY HIGH149"ซึ่งเขาวาดเป็นรูปบ้องกัญชาวางไว้ระหว่างตัว H จากนั้นขนาดของการพ่นหรือ TAG ก็มีขนาดเพิ่มมากขึ้น ด้วยการสร้างหัวพ่นสเปรย์แบบใหม่ที่มีการบีบรูพ่นได้ตามต้องการ ทำให้สร้างลายเส้นที่มีขนาดแตกต่างกัน ซึ่งผู้ที่ถือว่าเป็นผู้ริเริ่มก็ต้องยกเครดิตให้คือ "SUPER KOOL223" จากย่าน Bronxและ "WAP" จากย่าน Brooklyn และรูปแบบตัวหนังสือก็ได้ถูกสร้างออกมาหลายรูปแบบและมันก็ได้กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจต่อ "ศิลปะ"รูปแบบใหม่ Hugo Martinez นักสังคมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยCity College ได้ก่อตั้ง "United Graffiti Artists : UGA.เพื่อรวบรวมผลงาน Graffiti ที่เรียกได้ว่าสุดยอดจริงๆ มาแสดงในThe Razor Gallery ซึ่งเป็นการเปิดตัวแขนงนี้ให้โลกรู้จักและประสบผลสำเร็จ writer ที่สร้างชื่อให้แก่Martinez ก็มี PHASE2, MICO, COCO144, PISTOL, FLINT707, STICH, ETC... ในช่วงปี 1973 Richard Goldsteinจากหนังสือพิมพ์ New York Magazine ได้ตีบทความชื่อ "The Graffiti Hit Parade" กล่าวถึงศิลปินที่สร้างสรรค์งานศิลปะและคนทั่วไปสามารถหาชมศิลปะจากสถานีรถไฟใต้ดินแทนที่จะเป็นแกลลอรี่ทั่วๆไปได้ จุดสุดยอดของ Graffiti อยู่ในช่วงปี 1975-1977 ทุกๆที่ใน New Yorkแทบจะไม่มีพื้นที่ขาวเหลืออยู่เลย แม้แต่กระทั่งรถยนต์ก็ไม่เว้น กลายเป็นบทเรียนสำหรับ writer รุ่นใหม่ต่างๆมา Bomb กันอย่างสนุกสนาน สไตล์ที่นิยมกัอย่างมากก็เป็น Bubble Lettersตัวหนังสือเหมือนฟองสบู่ และกลายเป็นการแข่งขันออกไอเดียที่เพิ่มมากขึ้น เรียกกันว่า "STYLE WARS"และก็เป็นที่ชื่นชอบจนแทบกลายเป็นแฟชั่นในยุคนั้นเลย ในปี 1979 LEE QUINONES และ FAB 5 FREDDIEเปิดงานแสดงของตนเองที่โรม ประเทศอิตาลีกับนายหน้าค้ารูปศิลปะ Claudio Bruni และกลายเป็นศิลปะที่กลายเป็นจุดสนใจจากคนทั่วโลกไปแล้ว แต่ใช่ว่าจะมีคนยอมรับกับแขนงนี้มากนัก เพราะในช่วงระหว่างกลางปี 1980 มันกลับเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจำพวกโคเคน เพราะพวก writer ต่างคิดว่าเมื่อเสพมันเข้าไปแล้วจะช่วยให้จิตนาการของตนเองบรรเจิดขึ้นและในช่วงนั้นกฏหมายต่างห้ามไม่ให้จำหน่ายสเปรย์แก่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และสีสเปรย์ดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งต้องห้ามที่หาซื้อได้อย่างยากลำบากในสมัยนั้น บางเมืองออกกฏหมายห้ามไม่ให้เขียนฝาผนัง แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งอันตรายเขายิ่งทำเพราะถ้าที่ตรงไหนที่มันยากลำบากมากๆในการพ่นแล้วสามารถทำได้ เขาคนนั้นถึงจะเจ๋งจริงๆ Graffiti ก็ล้มลุกคลุกคลานเรื่อยมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น