บล็อกถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคนที่ชอบเพลง HipHop เป็นชีวิตจิตใจโยเฉพาะ ถ้าชอบไม่ชอบก็บอกกันด้วยนะครับ
วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555
101TOWN
มีหลายคนยังไม่รู้ว่าสมาชิก 101TOWN มีไครบ้าง มีรายชื่อดังนี้คับ AK T-front G-froce Tamstyle และยังมี EasyBoy ด้วยนะคับ Mullet Sky พวกเรามีกันทั้งหมด6คน ;) ////ใน101TOWN ผมชอบ T-front กับ Tamstyle ที่สุดครับเพราะแร็พได้มันมากและเสียงก้มีเอกลักษ์เป็นของตัวเองเพื่อนๆลองไปตามฟังดูนะคับ
We are illslick
illslick ถ้ามีใครเอ่ยชื่อนี้ออกมา คนที่ได้ยินต้องบอกว่า รักเมียที่สุดในโลก ด้วยเนื้อหาเพลงและเสียงที่นุ่มนวล ฟังแล้วชวนหลงไหล ทำให้ชื่อนี้เริ่มเป็นที่ติดหู ติดปาก และเริ่มมีการแชร์ต่อกันไปเรื่อยๆจนเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น หลายๆคนสงสัยว่าวงนี้เพิ่งเกิดขึ้นมา? วันนี้เราไขข้อสงสัยให้แล้วจ้า
สำหรับชื่อของ illslick ไม่ใช่ชื่อของวงดนตรีแต่อย่างใด เป็นเพียงชื่อ AKA หรือ ฉายาแร็พเปอร์ ของหนุ่มคนหนึ่งที่รักในเสียงดนตรีนามว่า “โต้ง” หรือที่ใคร ๆ เรียกเขาว่า “อิล” ตามชื่อแรกของฉายาเขาเท่านั้น! หรือจะเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ก็เหมือนนามปากกาของแร็พเปอร์นั่นเอง โดยโต้งได้แต่งเนื้อเอง เรียบเรียงเอง ร้องเอง มิกซ์เอง คนเดียวทุกขั้นตอน!!
สำหรับชื่อของ illslick ไม่ใช่ชื่อของวงดนตรีแต่อย่างใด เป็นเพียงชื่อ AKA หรือ ฉายาแร็พเปอร์ ของหนุ่มคนหนึ่งที่รักในเสียงดนตรีนามว่า “โต้ง” หรือที่ใคร ๆ เรียกเขาว่า “อิล” ตามชื่อแรกของฉายาเขาเท่านั้น! หรือจะเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ก็เหมือนนามปากกาของแร็พเปอร์นั่นเอง โดยโต้งได้แต่งเนื้อเอง เรียบเรียงเอง ร้องเอง มิกซ์เอง คนเดียวทุกขั้นตอน!!
และสำหรับเพลงของแร็พเปอร์ illslick หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมเขาถึงเป็นแร็พเปอร์ทั้งที่เพลงออกจะฟังนุ่มลื่นสบายหูขนาดนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่า เพลงดังกล่าวเป็นแร็พแนว Slow jam ส่วนจุดเด่นของเพลงแนวนี้ ก็มักจะเป็นเพลงที่มีเมโลดี้สวยงาม มีเนื้อร้องน่ารัก ผสานไปกับเสียงร้องนิ่ม ๆ ในจังหวะรัว ๆ ซึ่งยังคงความเป็นแร็พเปอร์ไว้
ส่วนบทเพลงของ illslick ที่เพิ่งจะมาติดหูคอเพลงเมื่อไม่นานมานี้ จริง ๆ แล้ว illslick ไม่ใช่มือใหม่ในวงการฮิปฮอป หรือแร็พเปอร์เมืองไทยเลย เพราะ illslick สนใจและเริ่มทำเพลงมาตั้งแต่อายุ 17 ปี เป็นศิลปินที่รู้จักกันดีในแวดวงเพลงใต้ดิน จนกระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้ว (พ.ศ. 2554) เพลงของ illslick ก็กลายเริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง จากการบอกปากต่อปาก และแชร์คลิปเพลงผ่านเฟซบุ๊ก (ตอนนี้มีผู้เข้าชมกว่า 6 ล้านคน) ซึ่งก็ทำให้ illslick กลายเป็นชื่อที่หลาย ๆ คนค้นหา เพื่อจะฟังเพลงที่เขาแต่ง และแน่นอนเพลงที่เขาแต่งไว้มีเยอะมากเลยทีเดียว หลังจากนั้นบทเพลงของ illslick ก็ถูกอัพโหลดและแชร์กันไปเรื่อย ๆ จนชื่อเสียงของ illslick กลายเป็นที่รู้จักโด่งดังไปทั่วโลกแล้ว ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ! แร็พเปอร์เมืองนอกหลายต่อหลายประเทศ ก็ชื่นชอบในผลงานของ illslick กันอย่างมากมายเลยทีเดียวล่ะ
สำหรับเส้นทางการเป็นนักร้องแร็พเปอร์ของเขาไม่ได้สวยหรูเท่าไรนัก ที่โด่งดังได้นั้นเป็นฝีมือล้วน ๆ ไม่มีค่ายเพลง ไม่มีคนคอยสนับสนุน โดยแรกเริ่มเดิมที โต้งต้องทำงานช่วยแม่ตั้งแต่เด็ก ๆ ที่ต่างจังหวัด ซึ่งตอนนั้นไม่มีเพลงอะไรฟังมีแต่ซาวน์อะเบ้าท์เครื่องเดียวที่บันทึกทำนองเพลงช้า ๆ เอาไว้ ด้วยความที่ชอบในเสียงเพลงก็เคยได้ยินเพลงแร็พแล้วก็ชื่นชอบมาก เลยพยายามใส่เนื้อร้องเข้าไปในทำนองนั้น พยายามร้องทุกวัน หาเนื้อร้องใส่จังหวะให้มันเข้ากัน และสุดท้ายเขาก็ทำได้ ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมา เขาก็พยายามฝึกร้องเพลง และหลงรักในแนวเพลงนี้เรื่อยมา จนได้ทำเพลงด้วยตนเองเอาไปแชร์ให้เพื่อน ๆ ในเว็บไชต์เพลงใต้ดินฟัง จากนั้นเขาก็ได้ตั้งชื่อเขาว่า illslick ในที่สุด
จากการสั่งสมประสบการณ์มาเรื่อย ๆ เขาก็เกิดไอเดียใหม่ ๆ โดยเขาคิดว่าในเมืองเพลงฝรั่งร้องแร็พได้มันส์ ร้องแร็พได้นุ่ม เขาก็พยายามเอาเนื้อร้องภาษาไทยใส่เขาไป เพราะเขาถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย และอยากลองมาก เนื่องจากภาษาไทยเป็นภาษาที่มีวรรณยุกต์เยอะ มีเสียงสูงเสียงต่ำ ต่างจากภาษาฝรั่งที่ร้องแร็พลื่นกว่ามาก นอกจากนี้เขายังอยากจะทำให้คนหลาย ๆ คนหันมาชอบเพลงฮิปฮอปกันมากขึ้น อยากให้วงการเพลงเปิดกว้างและยอมรับกับแนวเพลงเช่นนี้
หลังจากที่ทราบเรื่องราวของเขาแล้ว สรุปได้ว่าวงการเพลงไทยบ้านเรา illslick ถือว่าเป็นคนที่มีฝีมือคนหนึ่ง ถ้าใครยังไม่ได้ลองฟัง เพลงของ illslick ก็ลองคลิกเข้าไปฟังกันได้นะคะ ขอบอกว่า แต่ละเพลงเพราะ ๆ ทั้งนั้น รับรองว่าฟังแล้วจะติดใจ
รายชื่อศิลปินแนวฮิปฮอปในประเทศไทย
รายชื่อศิลปินแนวฮิปฮอปในประเทศไทย
- โจอี้ บอย (Joey Boy)
- ไทยเทเนี่ยม (Thaitanium)
- ไทยคูน (Thaikoon)
- ดาจิม (Dajim)
- Nefhole
- อิลสลิก (Illslick)
- ที (บี เอ็ม ที) หนึ่งในกลุ่ม AA Crew ที่เคยเป็นดูโอคู่กับขันในชื่อ ขันที ที่ทำอัลบั้มเดี่ยว โดยมีศิลปิน AJ เป็นโปรดิวเซอร์ และออกอัลบั้มอีกครั้งในปี 2550 กับ เจ เจตริน
- สิงห์เหนือ เสือใต้
- บีคิง (B-King) ในยุคหนึ่ง 2547-2549 เป็น ผู้เชี่ยวชาญการแร็ปสด และ แร็ปในสไตล์ เร็กเก้ ฮิปฮอป คล้ายโจอี้บอย เข้าวงการฮิปฮอปโดยออกอัลบั้มกับปลิ้นเรคคอร์ดชุด What The Fxxk 1 และการประกวดร้องเพลงแร็พของค่ายก้านคอคลับ และได้เข้าร่วมออกอัลบั้มรวม และออกอัลบั้มกับค่ายอาร์เอส โปรโมชั่น มีเพลงเด่น คือ แช่ง และ Oh No! และมีอัลบั้มที่ 2 ในปีถัดมา ปัจจุบันแยกตัวออกมาทำซิงเกิล โดยมี ขันเงิน ไทเทเนี่ยม ทำดนตรีให้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
- Du Ja Da (ดูจะด่า) สองเพื่อนรักที่มีอายุเป็นรุ่นเดียวกับโจอี้บอยและไทเทเนี่ยม และเป็นผู้นิยมสเก็ตบอร์ด ออกอัลบั้ม T-Hop กับค่ายเบเกอรี่ และมาออกอัลบั้มเต็ม กับ Sony Thai
- Asian Embassy มีสมาชิกชื่อ Turbo - El Nono ปี 2005 ออกอัลบั้มในค่ายโซนีมิวสิก ซึ่งเคยทำอัลบั้มรวมศิลปิน หรือ Compilation ชื่ออัลบั้ม What The Fxxk 1 ของค่าย ปลิ้นเรคคอร์ด 2547 โดยมี ไฟไฟ เป็นโปรดิวเซอร์ของอัลบั้ม What The Fxxk 1 ปัจจุบัน Turbo ยังคงทำเพลงในนาม Asian Embassy ส่วน El Nono ได้ยินเสียงของเขาล่าสุดในอัลบั้ม One Love ของ Tata Young และอัลบั้มใหม่ของ Asian Embassy ที่จะออกปลายปี 2551
- Silksounds
- นิคกี้ พิมพ์ นิคกี้ ธีรดล หรือแต่ก่อนเคย ออกอัลบั้มกับ อาร์เอสโปรโมชั่น โด่งดังจากเพลง เด็กผี จึงมีฉายาว่า นิคกี้เด็กผี ..เมื่อมาร่วมงานกับแกรมมี่ จึงมีฉายาว่า Nicky Pimp จากภาพลักษณ์ Hiphop อัลบั้ม 9inch ร่วมงานกับ นักเป่าแซกโซโฟนชื่อดัง มีผู้ร่วมโปรดิวซ์งานเพลงคือ Silksounds/ไฟไฟ/Afro Bro แต่ความโด่งดังของ Nicky มาจาก การออกงานสังคมและเป็นผู้มีชื่อเสียงจากอัลบั้มภาพนู้ด และการแสดงมากกว่า
- Rastafah ศิลปินฮิปฮอป - เร็กเก้ ในสังกัดของไทเทเนี่ยม กำลังจะมีผลงานในปี 2551
- Southside Phuket ศิลปินในสังกัดของไทเทเนี่ยม มีผลงานออกมาแล้ว 2 ชุด เพลงเด่น ๆ คือ ต่อยกับเพื่อนกุมั้ย
- Psycho & Lil’ Mario ไซโค - ลิล มาริโอ้ เป็นศิลปินในค่าย NYU โดยการนำของ ดีเจ ดิ๊ก อิท ออล โปรดิวเซอร์คู่บุญของดาจิม ไซโคเคยอยู่วง Pheonix 13th (อ่านว่า ฟีนิคเทอทีน) ซึ่งเคยทำอัลบั้ม รวมศิลปินชื่ออัลบั้ม What The Fxxk 1 ของค่าย ปลิ้นเรคคอร์ด ลิล มาริโอ้ เป็นนักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ที่ออกฉายในปี 2550
- NMC (No Mercy) วง Hiphop จากค่ายเพลง NYU ที่ได้รับรางวัลสีสรรค์อวอร์ดปี 2007 มีสมาชิกชาย 3 คน หญิง 1 คน
แร้ปไทย
ในประเทศไทย เพลงแร็ปได้ปรากฏเป็นครั้งแรกราวปี พ.ศ. 2534 ในอัลบั้ม จ เ-ะ บ ของ เจตริน วรรธนะสิน ในสังกัดแกรมมี่ กับ ทัช ธันเดอร์ ของ ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง ในสังกัดอาร์เอส โดยในเวลานั้นทั้งคู่เสมือนเป็นคู่แข่งกัน แต่ว่าดนตรีของทั้งคู่ในเวลานั้นยังไม่ใช่แร็ปเต็มตัว เพียงแต่แฝงเข้าไปในทำนองเพลงป็อปแด๊นซ์เท่านั้นเอง จนกระทั่ง เจ เจตรินได้ออกอัลบั้มชุดที่ 2 คือ 108-1009 มาในปี พ.ศ. 2536 มีหลายเพลงในอัลบั้มที่เป็นแร็ปมากขึ้น โดยเฉพาะในเพลง ยุ่งน่า, สมน้ำหน้า นับเป็นแร็ปเต็มตัว และในเพลง ประมาณนี้หรือเปล่า ก็มีบางช่วงที่เป็นแร็ป แต่หลังจากนี้ เจตรินก็ไม่ได้ทำเพลงในลักษณะแร็ปออกมาอีกเลย จนกระทั่งอัลบั้มชุดใหม่ Seventh Heaven ในปลายปี พ.ศ. 2550 กับเพลง สวรรค์ชั้น 7
แร็พเตอร์ก็น่าจะถือเป็นศิลปินเพลงในแนวฮิปฮอปด้วยเพราะก็มีหลายเพลงที่มีRapมาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ2อัลบั้มแรก เช่น Raptor (พ.ศ. 2537) อัลบั้มแรกของทั้งคู่ แนวเพลงเป็นแนว Pop และผสมกับแนว Rap ซึ่งจะนำเพลงดังในยุคนั้นของ RS มาทำใหม่และเพิ่มเติม เนื้อเพลงในส่วนที่เป็นท่อน Rap เช่นเพลง SuperHero และอัลบั้ม Waab Boys (พ.ศ. 2539) อัลบั้มที่สอง แนวเพลงจะแปลกไปจากชุดก่อนเพราะจะเป็นแนว Pop-Dance มากยิ่งขึ้น แต่ในเพลงก็ยังมีท่อน Rap มาผสมอยู่บ้าง เพลงที่ได้รับความนิยมในอัลบั้มนี้ได้แก่ "อย่าพูดเลย"
แต่ว่า ศิลปินไทยที่นับว่าเป็นแร็ปเปอร์กลุ่มแรกจริง ๆ คือ TKO ในปี พ.ศ. 2536 สังกัดคีตา เรคคอร์ดส โปรดิวซ์โดย กมล สุโกศล แคลปป์ แต่ว่ากลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากอาจเพราะกระแสดนตรีไทยในเวลานั้นยังไม่อาจรับได้กับเพลงในลักษณะนี้
แร็ป มาประสบความสำเร็จครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2538 เมื่อ โจอี้ บอย สังกัดเบเกอรี่ มิวสิก ได้ออกอัลบั้ม โจอี้ บอย เป็นชุดแรก ซึ่งเป็นแร็ปแท้ทั้งอัลบั้ม โดยในช่วงเวลานั้นกระแสการฟังดนตรีในเมืองไทยได้เปลี่ยนไปจากแนวดนตรีกระแสหลักไปสู่แนวอิสระมากขึ้น จึงทำให้เพลงแร็ปได้รับความนิยมขึ้นมาด้วย
เพลงแร็ปในประเทศไทยมักจะมีคำไม่สุภาพหรือหยาบโลนเหมือนอย่างศิลปินในต่างประเทศ เช่น ไทยเทเนี่ยม โจอี้ บอย และ ดาจิม (ในช่วงเป็นศิลปินใต้ดิน)
อนึ่ง ซึ่งความจริงแล้ว เพลงที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นเพลงแร็ปเพลงแรกของประเทศไทย มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 เป็นเพลงหนึ่งจากอัลบั้มแดนศิวิไลซ์ ผลงานของ ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ชื่อเพลง เบื่อคนบ่น
ตำนาน HipHop
1.MCRap หรือ Rap Music เป็นเพลงประเภท rhythm-and-blues music ซึ่งเป็นการร้องเพลงประสานทำนอง โดยลักษณะการร้องจะเป็นแบบตรงไปตรงมา โผงผาง โดยจะร้องร่วมกับ electronic drum beats ผสมกับ samples การร้อง rap ที่ได้มีการบันทึกเอาไว้ครั้งแรก คือในปี 1979 และเริ่มมีการแพร่ขยายออกมาในประมาณกลางปี 1980 ที่ New York ประเทศสหรัฐอเมริกา ในตอนแรกนั้น มีความหมายรวมเข้าไปใน Hiphop คือเรียกรวมเข้าไป จนกระทั่ง เริ่มมีการใช้คำว่า Rap จากความโด่งดังของอัลบั้ม Rappers Delight (1979) โดย the Sugarhill Gang ตั้งแต่นั้นมา Rap จึงได้เข้าไปเป็นส่วนย่อยของ Hiphop เหมือนเช่นดัง break dancing และ graffiti อีกด้วย โดยศิลปะที่เป็นความแปลกก็คือ การร้องที่จะใช้คำแสลง ที่แปลกๆ และภาษาที่สื่อตรงๆ ในการร้อง
2. DJ DJย่อมาจาก Diskjoging คือกลุ่มคนหรือบุคคลที่ทำหน้าที่เปิดเพลงตามงานหรือโอกาสต่าง ๆ DJ มีหลายประเภทแต่ที่จะนำมาเสนอนี้คือ DJ ที่เปิดเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง Turntable (ปัจจุบันได้มีการพัฒนามาเป็นแผ่น CD เช่นเครื่อง CDJ เป็นต้น) เอกลักษณ์ของ DJ ประเภทนี้คือการ "Scratch แผ่นเสียง" หมายถึงการเล่นเพลงไปข้างหน้าและย้อนกลับอย่างรวดเร็วตามจังหวะของเพลง ทำให้เกิดเสียงแปลก ๆ ออกมา DJ เกี่ยวข้องอะไรกับ HipHop ? DJ เป็นกลุ่มคนที่สำคัญมากในวงการ HipHop เพราะได้กล่าวมาแล้วว่าเด็ก HipHip ต้องมีองค์ประกอบเกี่ยวกับเพลงเสมอฉะนั้นจึงจะขาด DJ ไปไม่ได้เพราะเป็นคนเปิดเพลงในกลุ่มต่าง ๆ เช่น เปิดเพลงให้ MC ร้องrap เปิดเพลงให้ B-Boy เต้น เป็นต้น ดูอย่างไรว่าใครเป็น DJ? ถ้าดูการแต่งตัวหรือการใช้ชีวิตแล้วคงจะดูไม่ออกเพราะDJจะไม่เน้นเรื่องเหล่านี้ ดูง่าย ๆ เวลามีงานเลี้ยง ในร้านเหล้า หรือร้านอาหารต่าง ๆ DJ จะเป็นคนยืนอยู่หน้าเครื่องเปิดแผ่นเสียงแล้วทำหน้าที่คอยเปลี่ยนเพลง ถ้าอยากเป็นDJควรทำอย่างไร ? มีวิธีเดียวคือต้องไปเรียนที่โรงเรียนสอน DJ แล้วไปหางานเปิดแผ่น ส่วนกลุ่มDJ นั้นจะเป็นกลุ่มที่รวมตัวกันเพื่อหางานมากกว่ารวมตัวกันเพื่อทำเล่น ๆ เพราะถือว่า DJ เป็นอาชีพอย่างหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ได้อีกอย่างหนึ่งเลยที
3. B-boy คำว่า B-Boying นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาของชนชาติแอฟริกัน คือ คำว่า Boioing หมายความว่า กระโดด, โลดเต้น และถูกใช้ในแถบ 'Bronx River' ในการเรียก รูปแบบการเต้นเบรกกิ้งของกลุ่มชาวบีบอย ตัว B ในคำว่า Bgirl : Bboy นั้นย่อมาจาก Break-Girl : Break-Boy ( บางทีก็หมายถึง Boogie หรือ Bronx) B-Boying นั้นยังเป็นที่รู้จักในชื่อ เบรกกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์" ( อันหลังได้รับการบัญญัติโดยสื่อมวลชน) Breaking นั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Rocking มาก่อน เป็นการสะท้อนของ อิทธิพลจากชนชาวแอฟริกัน อเมริกัน หรือวัฒนธรรมชาวลาติน(เปอโตริกัน) ซึ่งมาพร้อมกับการอพยพ และ ปักฐานที่กรุงนิวยอร์กในช่วงปลายยุค60 นั่นเอง "เบรกกิ้ง" เป็นการเต้นที่ได้รับอิทธิพลจากการเต้นหลากหลายรูปแบบ ทั้งท่วงท่าจากกีฬายิมนาสติก รวมถึงจากศิลปะการเคลื่อนไหวของโลกตะวัน ออกอีกด้วย เป็นที่คาดคิดกันว่า เบรคกิ้ง หรือเบรคแด๊นซ์นั้นมีรากฐานมาจาก คาโปเอร่า หรือ 'Capoeira' คำว่า เบรค (Break) นั้นเป็นช่วงของจังหวะดนตรีที่ดุดันและเร้าใจ ในช่วง จังหวะนี้เหล่านักเต้นจะแสดงอารมณ์ด้วยท่าเต้นที่จะดึงดูดสายตาที่สุดเลยทีเดียว เรียกว่ามีอะไรก็เอามาโชว์ให้หมด Kool DJ Herc เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในการ ขยายช่วงจังหวะนี้ให้สนุกมากขึ้นด้วยเทิร์นเทเบิ้ลถึงสองตัว โดยเล่นแผ่นเสียง พร้อมกันทั้ง2 เครื่องและใช้แผ่นเสียงเพลงเดียวกัน ใช้เทคนิคถูแผ่นต่างๆกันไป ซึ่งนักเต้นสามารถจะถ่ายทอดท่าเต้นได้นานกว่าเดิม ที่มักจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่ วินาที ในระยะแรกๆนั้นการเต้นจะเป็นท่า " upright" ที่ภายหลังเป็นที่รู้จักกันใน ชื่อ"top rocking" เป็นท่ายืนเต้น ซึ่งมีอิทธิพลมาจากBrooklyn uprocking, การ เต้นแท็ป , lindy hop , ซัลซ่า, ท่าเต้นของ Afro Cuban, ชนพื้นเมืองแอฟริกัน และชนพื้นเมืองชาวอเมริกัน และก็ยังมีท่าท๊อปร็อคแบบ Charleston ที่เรียก ว่า"Charlie Rock" อิทธิพลอีกอย่างนั้นมาจาก James Brown กับผลงานเพลง ยอดฮิต"Popcorn" (1969) และ "Get on the Good Foot" (1972) จากท่าเต้น ที่เต็มไปด้วยพลังและรูปแบบที่โลดโผนสนุกสนาน ผู้คนจึงเริ่มที่จะเต้นในแบบ"GoodFoot". ในขณะ ที่การต่อสู้กันด้วยลีลาท่าเต้นเริ่มจะกลายมาเป็นประเพณี การเต้น Rocking หรือ Breaking นั้นก็เริ่มจะแทรกซึมเข้ามาสู่วัฒนธรรมฮิปฮอป ( ปะทะกันด้วยความสร้างสรรค์ไม่ใช่ด้วยอาวุธ) และมันเริ่มพัฒนาท่า เต้นที่เริ่มหลากหลายขึ้น ทั้งการย่ำเท้า การสับขา การลากเท้า และท่วงท่าที่จะใช้ปะทะกัน คือมีดีอะไรก็นำมาโชว์และเป็นที่มาของท่า "footwork" ("floor rocking" และ "freezes". Floor rocking, มีอิธิพลมาจากภาพยนตร์แนวต่อสู้ ในช่วงปลายยุค 70, การเต้นแท็ป ( ฟุตเวิร์กแบบชาวรัสเซีย, การตบ, การกวาดตัวเคลื่อนย้าย อย่างรวดเร็ว, ท่าล้อเกวียน)และท่าอื่นๆ ซึ่ง Floor rocking ได้เข้ามาเป็นท่า เต้นหลักเพิ่มขึ้น จาก 'toprocking' ในช่วงการเต้นขึ้นลงสู่พื้น เรียกว่า การ"godown" หรือ การ"drop" ยิ่งทำได้ลื่นไหลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี. Freezes นั้นมักใช้ในเป็นท่าจบ ซึ่งมักจะใช้เป็นท่าล้อเลียนหรือท้า ทายฝ่ายตรงข้ามหรือคู่ต่อสู้ ท่าที่ยอดฮิตก็คือ "chairfreeze" และ "baby freeze". ท่า chair freeze นั้นกลายเป็นท่าพื้นฐานของหลายๆท่าเพราะว่าระ ดับความยากง่ายของท่าที่ต้องใช้ความสามารถพอตัว คือ การใช้มือ แขนข้อศอกในการพยุงตัวในขณะที่เคลื่อนไหวขาและสะโพก เป้าหมายหลักในการปะทะ หรือ Breaking Battle นั้นก็คือ เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยท่าที่ยากกว่า สร้างสรรค์กว่า และรวดเร็วกว่าในทั้งจังหวะ และการFreezes ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ "Breaking crews" หรือกลุ่มของนักเต้นนั้น เข้ามารวมตัวกันและช่วยกันฝึกฝนและคิดค้นท่าใหม่ๆ เพื่อเอาชนะกลุ่มอื่นๆ กลุ่มบีบอยที่เป็นที่รู้จักในช่วงแรกๆ คือ กลุ่ม Nigga Twins และกลุ่มอื่นๆอย่างเช่น TheZulu Kings, The Seven Deadly Sinners, Shang-hai Brothers, The Bronx Boys, Rockwell Association, Starchild La -Rock,Rock Steady Crew and the Crazy Commanders ("CC step" เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นผู้บุกเบิกวงการนักเต้นบีบอยยุคแรกๆช่วงที่การเต้นแบบนี้เริ่มพัฒนาจนมีเอกลักษณ์ น่าสนใจและสร้างนักเต้นที่เป็นที่รู้จักนั่น ก็คือช่วงกลางยุคปี70 ก็ได้แก่นักเต้นอย่าง Beaver,Robbie Rob (Zulu Kings), Vinnie, Off (Salsoul), Bos (Starchild La Rock), Willie Wil, Lil' Carlos (Rockwell Association), Spy, Shorty (Crazy Commanders), Jame Bond, Larry Lar, Charlie Rock (KC Crew), Spidey, Walter (Master Plan) ฯลฯ กลุ่มบีบอยใหญ่ๆที่ทำใหศิลปะการปะทะกันด้วยเบรคแด๊นซ์นี้ไม่หาย ไป ก็คือการปะทะกันระหว่างกลุ่ม SalSoul ( เปลี่ยนชื่อภายหลังเป็น The DiscoKids) กับกลุ่ม Zulu Kings และระหว่างกลุ่ม Starchild La Rock กับ Rockwell-Association. ในขณะนั้น ' เบรคกิ้ง' หรือ ' เบรคแด๊นซ์ ' ยังมีแค่ท่าFreezes, Footworks and Toprocks และ ยังไม่มีท่า Spins! ในช่วงปลายยุค70 กลุ่มบีบอยรุ่นเก่าๆเริ่มที่จะถอนตัวกันไปและบีบอยรุ่น ใหม่ๆก็เริ่มเข้ามาแทนที่ และ คิดค้นสร้างสรรค์ท่าและรูปแบบการเต้นใหม่ๆขึ้น เช่น การหมุนทุกๆส่วนของร่างกาย เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ท่า Headspin, Continues Backspin หรือ Windmill และอื่นๆอีกมาก ที่ได้รับการ คิดค้นและพัฒนามาเรื่อยๆ ในช่วงยุค 80 มีกลุ่มบีบอยหลายๆกลุ่มที่โด่งดังในกรุงนิวยอร์ก ได้แก่ 'Rock Steady Crew' , 'NYC Breakers' , 'Dynamic Rockers' , 'United States Breakers' , 'Crazy Breakers' , 'Floor Lords' , 'Floor Masters' , 'Incredible Breakers' , 'Magnificent Force' ฯลฯ บีบอยที่เก่งช่วงนั้นก็เช่น Chino, Brian, German, Dr. Love (Master Mind), Flip (Scrambling Feet),Tiny (Incredible Body Mechanic) ฯลฯ. การปะทะกันที่ยิ่งใหญ่มากในตอนนั้น เป็นการปะทะกันระหว่าง Rock Steady Crew กับ NYC Breakers และระหว่าง Rock Steady Crew กับ Dynamic Rockers และในช่วงปลาย
4. Graffiti Graffiti สมัยดั้งเดิม เป็นการกำหนดพื้นที่ของบรรดาแก๊งค์ต่างๆเพื่อแสดงอาณาเขตและมักนิยมทำกันมากในช่วงระหว่างปลายปี 60's จุดเริ่มต้นจริงๆเกิดที่ Philadelphia, Pennsylvania และมีรากฐานมาจากการ"Bombing"(คือการพ่นหรือเซ็นชื่อหรือลายเซ็นอย่างเร็วที่เรียกว่า "TAG" ตามที่ห้ามขีดเขียนด้วยสเปร์ยหรือมาร์กเกอร์)Writer(คนที่พ่นหรือคนเขียนนั่นแหละ) ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ก็จะมี"CORNBREAD" และ "COOLEARL"2 คนนี้ก็ตระเวณBomb ตามที่ต่างๆทั่วเมืองมากมาย และมันก็เรียกร้องความสนใจจากผู้คนแถวนั้นและพวกสื่อต่างๆมากมายได้อย่างดีด้วยสิ เพราะด้วยรูปแบบตัวหนังสือที่อ่านยากแต่สวยงามและมันก็ได้ลามไปสู่ NewYorkทันที หลังจากที่ CONBREAD สร้างชื่อไปแล้ว ต่อมาในปี1971เกิด writer ชื่อ "TAKI183" ขึ้นมาและมีชื่อเสียงโด่งดัง จนหนังสือพิมพ์ "The New York Times" ยังเอาไปตีพิมพ์ ซึ่งชื่อ TAKI183นี่มาจากชื่อเล่นและชื่อถนนที่เขาอาศัยอยู่นั้นเอง งานของเขาจะเน้นหนักไปทางการ Bombing ซะมากกว่า แล้วก็เลยทำให้ Graffiti กลายเป็นวัฒนธรรมแฟชั่นยุคใหม่และตัวเขาเองกลายเป็นแนวทางให้ writerรุ่นใหม่ๆหันมานิยมใช้ชื่อแฝงและก็หมายเลขเพิ่มมากขึ้น เช่น JULIO204,FRANL207 เป็น writer ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นต่อมามันก็ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นและระบาดในแถบถนนBrooklyn ต้นตำรับของวัฒนธรรม "Hiphop" Writer เจ้าถิ่นที่มีชื่อเสียงอย่างมากและงานของเขามีอิทธิพลต่อคนรอบข้างสูงก็คือ"FRIENDLY FREDDIE" Graffiti ก็เริ่มระบาดจากที่เคยพ่นบนถนนก็เปลี่ยนมาพ่นที่สถานีรถไฟใต้ดินและพ่นกันบนรถไฟเลย ทำให้เวลาที่รถไฟแล่นไปไหนก็ตามมันก็จะเป็นการช่วยโปรโมทงานเขียนของตนเองให้คนอื่นเห็นมากขึ้น และมันก็ได้กลายเป็นการโชว์ออฟกันอย่างสูงในช่วงนั้น writerบางคนก็ Tag กันตามรถเลยก็มี สร้างความเดือดร้อนแก่เจ้าของรถเป็นอย่างมาก ต่อมาเมื่อ writer มีมากขึ้นบางคนก็คิดสไตล์ในการ Tag เพื่อเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น รูปมงกุฏเพื่อป่วสประกาศให้คนอื่นรู้ว่าเป็น kingมีอยู่TAG นึงที่ถือได้ว่าเป็น TAG ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์สร้างสรรค์โดย "STAY HIGH149"ซึ่งเขาวาดเป็นรูปบ้องกัญชาวางไว้ระหว่างตัว H จากนั้นขนาดของการพ่นหรือ TAG ก็มีขนาดเพิ่มมากขึ้น ด้วยการสร้างหัวพ่นสเปรย์แบบใหม่ที่มีการบีบรูพ่นได้ตามต้องการ ทำให้สร้างลายเส้นที่มีขนาดแตกต่างกัน ซึ่งผู้ที่ถือว่าเป็นผู้ริเริ่มก็ต้องยกเครดิตให้คือ "SUPER KOOL223" จากย่าน Bronxและ "WAP" จากย่าน Brooklyn และรูปแบบตัวหนังสือก็ได้ถูกสร้างออกมาหลายรูปแบบและมันก็ได้กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจต่อ "ศิลปะ"รูปแบบใหม่ Hugo Martinez นักสังคมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยCity College ได้ก่อตั้ง "United Graffiti Artists : UGA.เพื่อรวบรวมผลงาน Graffiti ที่เรียกได้ว่าสุดยอดจริงๆ มาแสดงในThe Razor Gallery ซึ่งเป็นการเปิดตัวแขนงนี้ให้โลกรู้จักและประสบผลสำเร็จ writer ที่สร้างชื่อให้แก่Martinez ก็มี PHASE2, MICO, COCO144, PISTOL, FLINT707, STICH, ETC... ในช่วงปี 1973 Richard Goldsteinจากหนังสือพิมพ์ New York Magazine ได้ตีบทความชื่อ "The Graffiti Hit Parade" กล่าวถึงศิลปินที่สร้างสรรค์งานศิลปะและคนทั่วไปสามารถหาชมศิลปะจากสถานีรถไฟใต้ดินแทนที่จะเป็นแกลลอรี่ทั่วๆไปได้ จุดสุดยอดของ Graffiti อยู่ในช่วงปี 1975-1977 ทุกๆที่ใน New Yorkแทบจะไม่มีพื้นที่ขาวเหลืออยู่เลย แม้แต่กระทั่งรถยนต์ก็ไม่เว้น กลายเป็นบทเรียนสำหรับ writer รุ่นใหม่ต่างๆมา Bomb กันอย่างสนุกสนาน สไตล์ที่นิยมกัอย่างมากก็เป็น Bubble Lettersตัวหนังสือเหมือนฟองสบู่ และกลายเป็นการแข่งขันออกไอเดียที่เพิ่มมากขึ้น เรียกกันว่า "STYLE WARS"และก็เป็นที่ชื่นชอบจนแทบกลายเป็นแฟชั่นในยุคนั้นเลย ในปี 1979 LEE QUINONES และ FAB 5 FREDDIEเปิดงานแสดงของตนเองที่โรม ประเทศอิตาลีกับนายหน้าค้ารูปศิลปะ Claudio Bruni และกลายเป็นศิลปะที่กลายเป็นจุดสนใจจากคนทั่วโลกไปแล้ว แต่ใช่ว่าจะมีคนยอมรับกับแขนงนี้มากนัก เพราะในช่วงระหว่างกลางปี 1980 มันกลับเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจำพวกโคเคน เพราะพวก writer ต่างคิดว่าเมื่อเสพมันเข้าไปแล้วจะช่วยให้จิตนาการของตนเองบรรเจิดขึ้นและในช่วงนั้นกฏหมายต่างห้ามไม่ให้จำหน่ายสเปรย์แก่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และสีสเปรย์ดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งต้องห้ามที่หาซื้อได้อย่างยากลำบากในสมัยนั้น บางเมืองออกกฏหมายห้ามไม่ให้เขียนฝาผนัง แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งอันตรายเขายิ่งทำเพราะถ้าที่ตรงไหนที่มันยากลำบากมากๆในการพ่นแล้วสามารถทำได้ เขาคนนั้นถึงจะเจ๋งจริงๆ Graffiti ก็ล้มลุกคลุกคลานเรื่อยมา
ในวันที่รู้สึกท้อ
ในช่วงชีวิตคนเรานี้คงมีหลายครั้ง
ที่ต้องประสบพบเจอกับอะไรหลายๆ อย่าง
ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่อาจรู้ได้ ชีวิตที่ต้องดำเนินไปในแต่ละวัน
ชีวิตที่ไม่สามารถหยุดนิ่งอยู่กับที่
ชีวิตที่ต้องต่อสู้เดินทางเพื่อก้าวไปข้างหน้า
กับสิ่งที่พบเจอในชีวิตบางครั้งเราก็สามารถที่จะเผชิญ
และยอมรับมันได้ แต่ก็มีบางครั้ง
ที่เรารู้สึกท้อแท้เหนื่อยหน่ายกับสิ่งทีเจอจนไม่อยากจะทำสิ่งใดต่อไปอีก
สำหรับสิ่งที่เราต้องเจอและเผชิญไม่ว่าครั้งไหนๆ
ถ้าหากว่าจิตใจของเราอ่อนแอท้อแท้และสิ้นหวังหมดกำลังใจ
และมัวแต่คิดว่าทำไมต้องเป็นเช่นนี้ ทำไมเราต้องเจอแบบนี้
เราก็คงไม่สามารถที่จะผ่านพ้นหนทางแห่งความพ่ายแพ้ของตัวเราเองไปได้
และสิ่งที่เรากำลังเผชิญก็จะยิ่งทำร้ายทำลายเรา
illslick
llslick เป็นชื่อ AKA (ฉายาแร็ปเปอร์) เห็นว่าจริงๆ ชื่อ โต้ง อยู่เชียงใหม่
เป็นแร็ปเปอร์ที่ร้องแนว Hiphop เช่น Bone thugs n harmony หรือ Twista
จุดเด่นของเพลงพี่เค้าคือ มีเมโลดี้ที่สวย เพลงเพราะ เีสียงหล่อ แต่พอจะโหดก็รัวได้สุดๆ สาดได้เละ...
งานเพลงเค้าส่วนใหญ่ จะเป็น Mixtape
(การนำทำนองเพลงของคนอื่น เรียกอีกอย่างว่า Beat นำมาทำเนื้อร้องใหม่ในไสล์ตัวเอง)
" ต่างจากการทำเพลงแปลงน่ะครับ และไม่ได้จงใจ Copy เพลงคนอื่นด้วย"
ซึ่งการทำ Mixtape เนี้ย แร็ปเปอร์ดังๆ ก็ทำกัน มันคือเรื่องธรรมดาครับ
เป็นการแสดงกึ๋นในการทำเพลงมากว่า เพราะเพลง Hiphop วัดกันที่ Ryhme (เนื้อเพลง) มากกว่า
จริงๆ แล้วพี่เค้าไม่ใช่หน้าใหม่ ในวงการ Hiphop เลยเพราะเค้า ทำเพลง Underground มานานแล้ว
เห็นในเนื้อเพลงบางเพลง เค้าบอกว่าทำมาตังแต่อายุ 17 ซึ่งก็ไม่น่าแปลก เพราะเท่าผมเคยฟังเค้าครั้งแรกก็
ปี 2006 เป็น Audio Battle (การแบ็ททัล มีการคิดเพลงมาก่อน ไม่ได้ว่ากันสดๆ แบบ Free Style)
โดยทำเพลง Diss แร็ปเปอร์คู่แข่ง โดยให้เวลาจำกัด ในการทำเพลงโต้กลับ ซึ่งตอนนั้นเค้า แบท ได้รัว ไหล
Flow สุดๆ แต่ไม่แน่ใจว่าใช่ครั้งแรกของเค้ารึป่าว แต่ก็ทำให้คนจดจำแร็ปเปอร์นาม illslick ได้มากอยู่
จนถึงปี 2010 พี่เค้าเป็นรู้จักไปทั่วด้วยเพลง "รักเมียที่สุดในโลก" ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วเว็บ Youtube
และมียอด View สูงมากจนถึงปัจจุบัน
(มันเจ๋งตรงที่เค้าเป็นศิลปิน Underground ไม่มีสื่อคอยสนับสนุนนี่แหละ) และมีคนนำเพลงเค้าไปใช้
และ Cover อีกหลาย Clip จริงๆ แล้วแต่ก่อนเค้าเคย เอาเพลง ลงใน Myspace แต่กลับโดนบางคนนำเพลง
แล้วไปใส่เครดิตตัวเอง จนทำให้ พี่เค้าลบเพลงใน Myspace ออกจนหมดเหลือแต่เพลง Gangsterism
ซึ่งมีนัยแฝงไว้หรือป่าวก็ไม่รู้ ถึงขึ้นไว้แต่เพลงนี้ 555+
อัลบั้มที่พี่เค้าทำอยู่ ไม่แน่ใจว่ามีกี่อัลบั้มแต่เท่าที่เห็นในเว็บ ก็มี
อัลบั้ม ROYAL FLUSH ออกปี 2009 ไม่แน่ใจว่าใช่ FIXTAPE VOL.1 หรือเปล่า
ใครรู้เรื่องอัลบั้มทั้งหมดของพี่เค้า ก็ช่วยแชร์ข้อมูลด้วยก็ได้นะ : )
และล่าสุด ถึงวันนี้ มีข่าวว่าเค้ากำลังจะออก Fixtape FullVol. เห็นว่า มีถึง 2CD
ยังไงซะ แฟนๆ ของ illslick หากผลงานพี่เค้าออกมาก็ช่วยอุดหนุนของจริงนะ
พี่เค้าจะได้มีกำลังใจทำงานเพลงดีๆ ให้เราได้ฟังกันเรื่อยๆ
ส่วนรายละเอียดว่าจะซื้อยังไง จะออกเมื่อไร ก็ต้องติดตามดู
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)